พ.ต.ท.วสุเทพ ใจอินทร์ รองผู้กำกับการสายตรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ เปิดเผยว่า กลโกงเหล่านี้เป็น “มุกเดิมที่วนกลับมาใช้ซ้ำ” โดยเฉพาะมุกโทรมาจากโรงพยาบาล พบผู้เสียหายแล้วกว่า 150 รายตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
3 กลุ่มกลโกงยอดฮิตที่มิจฉาชีพใช้หลอกเหยื่อ
พ.ต.ท.วสุเทพ เผยว่า กลโกงที่มิจฉาชีพใช้ในช่วงนี้สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ซึ่งล้วนอาศัย “อารมณ์” ของเหยื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการหลอกลวง ทั้งความกังวล ความโลภ และความกลัว เพื่อให้ผู้รับสายขาดสติและหลงเชื่อได้ง่ายขึ้น
1. เล่นกับ “ความกังวลของเหยื่อ”
มิจฉาชีพจะโทรมาแอบอ้างว่าเป็นญาติ หรือคนรู้จักของเรา เช่น ลูก หลาน หรือพ่อแม่ โดยมักอ้างว่าเกิดเหตุฉุกเฉิน ต้องการความช่วยเหลือด่วน เช่น ประสบอุบัติเหตุ ต้องใช้เงินค่ารักษา หรืออยู่โรงพยาบาลต่างจังหวัด เพื่อให้เหยื่อรีบโอนเงินทันทีโดยไม่ทันตรวจสอบข้อเท็จจริง
2. โทรมาชวน “ทำบุญหรือรับรางวัล”
รูปแบบนี้มักเริ่มจากการอ้างชื่อโรงพยาบาลหรือองค์กรการกุศล โดยโทรมาเชิญชวนให้ร่วมทำบุญ หรือแจ้งว่าผู้เสียหายได้รับรางวัลบางอย่าง เช่น เงินบริจาคหรือของรางวัลพิเศษ จากนั้นจะขอให้เหยื่อ “แอดไลน์เข้ากลุ่ม” เพื่อยืนยันสิทธิ์ หรือดำเนินขั้นตอนต่อไป ซึ่งเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพใช้ในการหลอกให้โอนเงิน
3. เล่นกับ “ความกลัว” ของเหยื่อ
เป็นกลโกงที่กำลังระบาดมากที่สุดในขณะนี้ มิจฉาชีพจะแอบอ้างว่า โทรมาจากโรงพยาบาล มีเด็กหรือญาติที่เรารู้จัก “แอดมิตโรงพยาบาล” จากนั้นจะข่มขู่ว่าเรื่องจะถูกส่งต่อให้ตำรวจ เพื่อสร้างความตกใจและทำให้เหยื่อรีบทำตามทุกขั้นตอน เช่น การโอนเงิน หรือส่งข้อมูลส่วนตัว
“กลโกงทั้ง 3 รูปแบบนี้ แม้จะต่างกันในรายละเอียด แต่มีจุดร่วมคือ “การใช้จิตวิทยาเล่นกับอารมณ์” ของเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็น ความกังวล ความโลภ หรือความกลัว ซึ่งมิจฉาชีพจะเลือกใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ เพื่อทำให้ผู้ถูกหลอกเชื่อและโอนเงินโดยไม่ทันตั้งตัว” พ.ต.ท.วสุเทพ กล่าว
พ.ต.ท.วสุเทพ ใจอินทร์ รองผู้กำกับการสายตรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ
มิจฉาชีพได้เบอร์โทรจากไหน และมุกไหนใช้ได้ผลที่สุด
มิจฉาชีพอาจใช้การโทรหว่าน โทรสุ่ม หรือหาข้อมูลจากแหล่งเปิดต่าง ๆ เพื่อหาหมายเลขโทรศัพท์ของเหยื่อ บางรายถึงขั้น “ทำการบ้านก่อนโทร” เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
สำหรับกลยุทธ์ที่มิจฉาชีพใช้แล้วได้ผลมากที่สุดคือมุกเกี่ยวกับ “ความกลัว” มักได้ผลดี โดยเฉพาะเมื่อโทรมาจากโรงพยาบาล เพราะคนส่วนใหญ่จะหยุดฟังทันที ไม่กล้าตัดสาย เนื่องจากกังวลว่าเป็นเรื่องสำคัญ เช่น ญาติป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุ เมื่อเหยื่อเผลอคุยต่อ มิจฉาชีพจะเริ่มสร้างเรื่องต่อเนื่อง เช่น อ้างว่าญาติเราเข้าโรงพยาบาล ต้องโอนเงินด่วนเพื่อรักษา
เผลอโอนเงินไปแล้ว ยังมีโอกาสได้เงินคืนไหม ?
พ.ต.ท.วสุเทพ กล่าวว่า มีโอกาสได้เงินคืน เพราะปัจจุบันมีการเปิด War Room เพื่อติดตามมิจฉาชีพเชิงรุก ทั้งการตรวจยึดเงินสด และติดตามเส้นทางการเงิน เช่น เคสที่ จ.พิษณุโลก คืนเงินได้กว่า 2 ล้านบาท
หากถูกหลอกให้รีบโทร 1441 เพื่ออายัดบัญชีที่โอนไป และไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ตำรวจจะรวบรวมข้อมูลเข้าสู่ระบบศูนย์รวมเพื่อติดตามเส้นทางการเงินและคืนเงินให้เหยื่อได้ โดยในการสืบสวนติดตามเงินใช้เวลาประมาณ 6 เดือน แบ่งเป็น
- เดือนแรก: รวบรวมข้อมูลเส้นทางการเงิน
- เดือนที่ 2–5: ออกหมายเรียกบัญชีม้ามาพบพนักงานสอบสวน
- เดือนสุดท้าย: ออกหมายจับและดำเนินการตาม
หากครบ 6 เดือนแล้วยังไม่มีความคืบหน้า สามารถไปพบผู้กำกับสถานีตำรวจเพื่อสอบถามหรือเร่งติดตามเพิ่มเติมได้

หลอกขอถ่ายบัตรประชาชนทำอย่างไร ?
ตัวอย่างเคส มีผู้เสียหายรายหนึ่งถูกขอถ่ายบัตรประชาชนส่งให้ทางไลน์ถูกลวงให้โอนเงินไป 15,000 บาท
พ.ต.ท.วสุเทพ กล่าวว่า หากถ่ายบัตรประชาชนส่งไปแล้วผ่านช่องทางไลน์ ควรรีบทำบัตรใหม่ เพราะเลขหลังบัตรจะไม่ซ้ำกัน หากทำบัตรใหม่ เลขหลังบัตรเก่าจะใช้ไม่ได้ และเป็นการป้องกันการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด
นอกจากนี้อาจจะติดตั้งแอปฯ แจ้งเตือนเบอร์โทรศัพท์ หากเป็นเบอร์โรงพยาบาลจริง ระบบจะแสดงชื่อชัดเจน และโรงพยาบาลไม่มีนโยบายให้ประชาชน “โอนเงิน” หรือ “แอดไลน์” เพื่อชำระเงิน หากพูดถึงการโอนเงิน การติดต่อผ่านไลน์ หรือการโอนสายให้ตำรวจ ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพ หรือหากถูกขู่ให้โอนเงิน หรือข่มขู่ว่าจะดำเนินคดี ให้หยุดทันที ไม่ต้องเชื่อ
สังเกตอย่างไร มิจฉาชีพปลอมเป็นตำรวจ ?
เคสอีกตัวอย่างคือ บางรายจะปลอมเป็นตำรวจในโซเชียล ซึ่งเป็นวิธีการหลอกซ้ำ หากเจอเคสแบบนี้ ให้ขอ “เบอร์โทรศัพท์” ทันที เนื่องจากมิจฉาชีพที่อยู่ต่างประเทศจะไม่สามารถให้เบอร์ที่ติดต่อจริงได้ เพราะหากมีการตรวจสอบว่าเป็นเบอร์มิจฉาชีพจะโดนระงับสิทธิการใช้เบอร์โทรศัพท์ ซึ่งการขอลงทะเบียนเบอร์โทรสำหรับ 1 คน จะจำกัดที่ 5 เบอร์เท่านั้น หรือหากมิจฉาชีพให้เบอร์ที่ติดต่อได้ ให้รีพอร์ตเบอร์นั้นกับเครือข่ายโทรศัพท์เพื่อทำการบล็อกทันที
อย่างไรก็ตามเทศกาลลอยกระทงนี้ หากมีโทรศัพท์เข้ามาบอกว่าลูกหลานเกิดอุบัติเหตุหรืออยู่โรงพยาบาล ให้ตั้งสติและตรวจสอบก่อน เพราะโรงพยาบาล ไม่โทรแจ้งให้โอนเงินแบบนั้นแน่นอน
ข้อมูลจาก : วันใหม่ วาไรตี้










